Zusammenfassung der Ressource
โรคติดต่อ
- 1. โรคหวัดธรรมดา
- สาเหตุ
- เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนโรคไข้หวัดใหญ่
จะมีอาการรุนแรงกว่าโรคหวัดธรรมดาโดยทั่วไปแล้วเรามักเรียกว่า
โรคหวัด หรือ ไข้หวัด เป็นโรคที่เป็นกันมาก และไม่เป็นอันตรายมากนัก
เป็นมากในฤดูฝน เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งมีอยู่เกือบ 200 ชนิด
เชื้อโรคนี้ปะปนอยู่ในอากาศถ้าร่างกายอ่อนแอเมื่อใดและได้รับเชื้อโรคนี้เข้าไปก็จะเป็นหวัดได้
- อาการ
- ผู้ป่วยอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ เจ็บคอ คอแห้ง คัดจมูก น้ำมูกไหล มีไข้ ปวดศีรษะ
ปวดเมื่อยตามตัว ไอ จาม มีเสมหะผู้ป่วยมีอาการมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานโรคของร่างกาย
และในการป่วยเป็นโรคหวัดในแต่ละคนนั้น
อาจมีอาการไม่เหมือนกันและไม่ได้มีอาการทุกอย่างตามที่กล่าวมาแล้ว
อาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
- การป้องกัน
- 1. ทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ จะทำให้มีภูมิต้านทานโรค
- 2. ไม่ควรตากฝน แต่ถ้าตากฝนมาควรทำให้ร่างกายอบอุ่นโดยเร็ว
- 3. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย การใช้สิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วย
- 4. เมื่ออากาศหนาวเย็นควรสวมเสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น
- 2. โรคไข้หวัดใหญ่
- สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สามารถติดต่อกันได้ง่าย
มีอาการรุนแรงกว่าโรคไข้หวัดธรรมดา
- อาการ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย คัดจมูกน้ำมูกไหล ตาแดง ไอ จาม
บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเดิน และอาจมีโรคแทรกซ้อนได้ เช่น หลอดลมอักเสบ
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปอดบวม ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นต้น
- การป้องกัน การป้องกันโรคนี้เหมือนกันการป้องกันโรคหวัดธรรมดา
และในปัจจุบันนี้มีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งผู้ที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคไต โรคเลือด โรคหัวใจ โรคปอด
เป็นต้น ผู้ป่วยติดเชื้อเอสไอวี เด็กที่มีโรคเรื้อรังเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
ผู้ที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ และผู้ที่ทำงานบริการสาธารณชน
- 3. โรคไข้หวัดนก
- สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสเอเวียนฟลูเอนซา ชนิด เอ(Avian Influenza Type A)
- อาการ ระยะฟักตัวในคนใช้เวลาสั้นประมาณ 1-3 วัน อาจมีอาการทางระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน มีไข้สูง หนาวสั่น
ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย มีน้ำมูก ไอ และเจ็บคอ บางครั้งอาจมีอาการตาแดง ซึ่งจะหายเป็นปติเองภายใน
2-7 วัน หากเกิดมีอาการติดเชื้อหรืออาการแทรกซ้อน อาจมีอาการรุนแรง ทำให้ปอดบวม และหัวใจล้มเหลวได้
โดยเฉพาะในเด็ก และผู้สูงอายุ
- การรักษา ไม่มียาที่ใช้รักษาโรคนี้ได้โดยตรง
ซึ่งในปัจจุบันแพทย์รักษาเหมือนกับการรักษาไข้หวัดใหญ่ทั่วไปคือรักษาตามอาการ
ส่วนการใช้ยาต้านไวรัสขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแพทย์ผู้ทำการรักษา
- 4. โรคมาลาเรีย
- สาเหตุ เชื้อที่ทำให้เกิดมาลาเรียคือโปรโตซัว (ProtoZoa)
มีอยู่หลายชนิดแต่ที่สำคัญในประเทศไทย คือ พลาสโมเดียมฟาลซิพารัม
พบประมาณร้อยละ 70-90 ชองผู้ป่วย โดยมียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค
- อาการ เกิดหลังจากได้รับเชื้อจากยุงก้นปล่องกัดประมาณ 10-14 วัน (แต่อาจนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนก็ได้) ใน 2-3 วันแรก มีอาการปวดศีรษะ
ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่ ต่อมาจะมีอาการเจ็บไข้ เป็นอาการที่เด่นชัดของมาลาเรีย ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ 1. ระยะสั่น
มีอาการหนาวสั่นมาก มีไข้ ผิวหนังซีด อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร มีอาการในระยะนี้ประมาณ 20-30 นาที 2.
ระยะร้อนไข้ขึ้นสูงประมาณ 40 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะมาก อาจปวดลึกเข้าไปในกระบอกตา หน้าแดง ตาแดง กระสับกระส่าย เพ้อ กระหายน้ำ
ชีพจรเต้นเร็ว อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ปวดกระดูกกล้ามเนื้อ ในเด็กอาจชักได้ เป็นประมาณ 2 ชั่วโมง หรืออาจนานถึง 3-8 ชม. 3. ระยะเหงื่อออก
มีเหงื่อออก ไข้ลดลงเป็นปกติ แต่รู้สึงอ่อนเพลีย และหลับ ระยะนี้ประมาณ 1 ชม. ในปัจจุบันผู้ป่วนมาลาเรียระยะแรกอาจมีไข้สูงตลอด
- การป้องกัน 1. ป้องกันยุงก้นปล่องที่มีเชื้อมาลาเรียมากัด
ยุงก้นปล่องชนิดนำเชื้อมาลาเรียมีนิสัยหรือพฤติกรรมในการออกหากินในเวลากลางคืนตั้งแต่พลบค่ำจนถึงเวลารุ่งเช้าของวันรุ่งขึ้น 2.
บุคคลที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ที่ยังมีการเกิดโรคมาลาเรีย อยู่ในบ้านที่ได้รับการพ่นน้ำยาป้องกันยุง
เวลานอนควรนอนในมุ้งชุบน้ำยาป้องกันยุง 3. ทายาป้องกันยุงป้องกันยุงกัดบริเวณที่เสื้อผ้าปกปิดไม่มิด
- 5. วัณโรค
- สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
ซึ่งมีคุณสมบัติในการทนต่อความร้อนและความแห้งแล้งได้ดีแต่ถูกทำลายได้ง่ายด้วยแสงแดด
ผู้ที่ได้รับเชื้อวัณโรคบางคนอาจไม่เป็นวัณโรคเพราะร่างกายมีกลไกหลายอย่างที่จะต่อสู้ป้องกันวัณโรค
แต่เมื่อได้รับเชื้อเอดส์จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลง จึงติดเชื้อวัณโรคได้ง่าย
- อาการ ผู้ป่วยจะอ่อนเพลีย เบื่ออาหารน้ำหนักลด ไอเรื้อรัง ไอแห้งๆ อาจมีเลือดปนเสมหะ มีไข้ตอนบ่ายๆ
เหงื่อออกมากเวลากลางคืน เจ็บหน้าอกและเหนื่อยหอบ
- การป้องกัน 1. ฉีดวัคซีนบีซีจีตั้งแต่เด็ก 2.
เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ควรเอกซเรย์ปอยอย่างน้อยปีละครั้ง 3.
บำรุงรักษาสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรง 4.
หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย 5. ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ไอเป็นเลือด
มีไข้ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ควรรีบไปพบแพทย์ 6.
ระวังตัวอย่าให้ติดเชื้อเอดส์